สวัสดีครับ สำหรับ AHBDA Forum ฉบับนืจะเป็นการพูดถึงอีกมุมมองหนึ่งของการฆ่าเชื้อ ที่มาใช้จัดการกับเชื้อโรคโดยเฉพาะเจ้าเชื้อ COVID -19 ในคน และ ASF ในสุกร เทคโนโลยีที่จะกล่าวถึงครั้งนี้ คือ แสงยูวี (Ultra violet)
แสง ยูวี (ultra violet)
โดยธรรมชาติ แสงจากดวงอาทิตย์จะประกอบ ไปด้วยรังสี 2 ส่วนคือ
1.รังสีที่มองเห็นได้ กับที่มองไม่เห็นได้ ที่มองเห็นได้จะมี 7 สี แต่จะสามารถมองเห็นได้เมื่อมีความชื้นสูง ที่เรียกว่า “รุ้งกินน้ำ” นั่นเอง
2. รังสีส่วนที่มองไม่เห็น คือ พลังงานในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ออกมาจากดวงอาทิตย์ มี 2 ส่วนคือ
2.1. รังสี UV หรือ Ultra Violet ทำให้เกิดการเผาไหม้ มีพลังงานคิดเป็น 3% ของพลังงานทั้งหมด
2.2 รังสี Infrared ทำให้เกิด ความร้อน คิดเป็น 53% ของพลังงานทั้งหมดที่มาจากดวงอาทิตย์
ระดับความเข้มข้นของ UV แบ่ง ตามความเข้มข้น ได้ 3 ระดับ
UVA (315-400 nm) มีอยู่มากกว่า 90% ของรังสีที่ส่องมายังโลก เป็นแสงยูวีที่ส่องลงมาถึงพื้นผิวโลกมากที่สุด สามารถทะลุผ่านผิวหนังของมนุษย์ สามารถทำให้เกิดการสูงวัยของผิว(Photo aging) ถึง 80% เกิดจุดรอบด่างดำ รอยเหี่ยวย่นได้ บนใบหน้า ถูกดูดซึมในบรรยากาศเล็กน้อย
UVB(280-315nm)มีอยู่ประมาณ 5% ของรังสี เป็นแสงที่สามารถทำลายต่อDNA ในผิวหนังมนุษย์ โดยแสง UV ชนิดนี้เป็นสาเหตุของอาการผิวไหม้หรือแม้แต่การเกิดมะเร็งที่ผิวหนัง ถูกดูดซึมเป็นบางส่วน
UVC (100-280nm) เป็นแสงที่มีคลื่นสั้นและมีพลังงาน มากที่สุด โดยเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทุกประเภท แม้กระทั่งไวรัสขนาดเล็ก ในธรรมชาติแสงชนิดนี้จะถูกสกัดและกรองออกไปในชั้นบรรยากาศโดย โอโซน ก่อนจะมาถึงพื้นโลกและผิวของเรา ถูกดูดซึมในชั้นบรรยากาศเกือบหมด ช่วงความยาว 200-280 nm นิยมนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อโรคต่างๆ
รังสี UV สามารถฆ่าเชื้อได้อย่างไร ?
ภาพที่2 แสดงการเข้าทำลายระดับDNA ของรังสี UVC และเขื้อโรคต่างๆที่รังสีเข้าไปทำลาย
UV แสงยูวีที่นำมาใช้ในการฆ่าเชื้อโรคนั้น เกิดมาจากการสังเคราะห์ UVC ขึ้นเอง นั้นก็คือระบบ “UVGI” (Ultraviolet Germicidal Irradiation) หรือ ระบบการใช้แสงยูวีที่มีความเข้มข้นสูงพิเศษ (Germicidal Range) เพื่อฆ่าและทำลายเชื้อโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Virus Bacteria Fungi และ Yeast & Mold ที่อยู่บนพื้นผิวและในอากาศ หากเชื้อโรคต่างๆได้รับปริมาณแสง UVC ในระยะเวลาที่เพียงพอ แสงยูวีจะทะลุเข้าไปใน DNA ของเชื้อโรค ทำลาย DNA และพันธะของคาร์บอน จนทำให้เซลล์เชื้อโรคตาย
รูปแบบการนำUV มาใช้ คือ
1.การนำมาฆ่าเชื้อในอากาศ สามารถใช้ฆ่าเชื้อที่อยู่ในระบบปิด ไม่มีการเคลื่อนไหวของอากาศ โดยจะต้องมีการออกแบบให้บริเวณที่ต้องฆ่าเชื้อสัมผัสกับรังสีอย่างทั่วถึง หรือใช้การหมุนเวียนอากาศให้ผ่านหลอดกำเนิดรังสี เป็นต้น
2.การนำมาฆ่าเชื้อในน้ำ สามารถใช้ยูวีซีในการฆ่าเชื้อที่ปะปนอยู่ในน้ำได้โดยอาศัยการหมุนวนของน้ำผ่านหลอดกำเนิดรังสียูวีซีภายในระยะเวลาช่วงหนึ่งเพื่อให้รังสีทำลายเชื้อโรคได้หมด นอกจากนี้รังวียูวีซียังสามารถกำจัดคลอรีนหรือสารกลุ่มคลอรามีนที่ปะปนอยู่ในน้ำได้ด้วย อย่างไรก็ตามยูวีซีไม่สามารถกำจัดสารอินทรีย์ และอนินทรีย์หรืออนุภาคต่างๆ ที่ปะปนในน้ำได้
3 การนำมาฆ่าเชื้อที่บริวณพื้น สามารถใช้รังสียูวีชีในการฆ่าเชื้อที่อยู่บนพื้นผิววัสดุ โดยรังสียูวีซีที่ใช้ต้องมีความเข้มของรังสี ระยะห่าง และระยะเวลาที่ใช้ต้องมีความเหมาะสมตามแต่ละชนิดของเชื้อที่ต้องการทำลายจึงจะสามารถทำลายเชื้อได้
ข้อดีของUV ในการฆ่าเชื้อโรค
1.ประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อโรคค่อนข้างกว้างขวาง ได้ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ถึงระดับ DNA
2.ได้รับการรับรองและถูกใช้กันแพร่หลาย ในทางการแพทย์ อุตสาหกรรมอาหาร
3.สามารถใช้ได้กับทุกสภาพพื้นผิวที่แสงสัมผัส เช่น แก้ว ซิลิโคน ไม้ เป็นต้น
ข้อจำกัดของ UV ในการฆ่าเชื้อโรค
1 ไม่สามารถสัมผัสแสงยูวีได้โดยตรง โดยเฉพาะดวงตา กับผิวหนัง ปัจจุบันได้มีการพัฒนาใช้แสง UV ที่ 222 nm หรือที่เรียกว่า Far –UVC light ให้เป็นอันตรายต่อดวงตาและผิวหนังลดลง
2. ทำได้เฉพาะในระบบปิด ที่แสงเข้าถึง ถ้าในระบบเปิดจะทำให้ความเข้มแสงลดลง
UV นำมาใช้การฆ่าเชื้อโรคในอุตสาหกรรมต่างๆ
ปัจจุบัน แสงUV มีการนำมาใช้กับวงการปศุสัตว์มากขึ้น เช่น ทำความสะอาดในห้องโดยสารรถ การมีหลอด UV ใช้สำหรับฆ่าเชื้อในแต่ละห้องที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ การฆ่าเชื้อในน้ำดื่มแทนคลอรีน เป็นต้น จึงเป็นเทคโนโลยีที่ประหยัดและมีการพัฒนาให้ใช้สะดวกมากขึ้น สำหรับฉบับหน้าเรามาดูการฆ่าเชื้อด้วยไอออน หรือประจุไฟฟ้า กัน ขอบคุณครับ
เรียบเรียงโดย
น.สพ. จักรกฤษณ์ ประเสริฐ